
เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการขอคืนค่าธรรมเนียมเมื่อยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม หรือบัตรเดบิต ดังนี้
รู้หรือไม่ ยกเลิกบัตรเอทีเอ็ม หรือ บัตรเดบิต ขอคืนค่าธรรมเนียมได้ อีกหนึ่งในการปรับปรุงค่าธรรมเนียมให้เป็นธรรมเพื่อลดภาระของประชาชน คือ ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร ให้คืนค่าธรรมเนียมรายปีตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการ โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ จากเดิมที่ไม่มีการคืนส่วนต่างหรือคืนเมื่อร้องขอเท่านั้น

ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ยกระดับการกำกับดูแลการให้บริการทางการเงิน
อย่างเป็นธรม (market conduct) อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดดอกเบี้ยและ
ค่าธรรมเนียมอย่างเป็นธรรมและโปร่งใสเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถเปรียบเทียบและเลือกใช้
บริการที่ตรงกับวัตถุประสงค์ด้วยราคาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเชื่อมั่นของผู้ใช้บริการต่อระบบ
การเงินของไทยและสนับสนุนให้ผู้ให้บริการดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว นั้น
จากการหารือร่วมกับผู้แทนจากภาคประชาชนและผู้ให้บริการ รวมทั้งการศึกษาแนวทาง
การกำกับดูแลในต่างประเทศ ได้ข้อสรุปหลักการสำคัญ 4 ประการในการกำหนดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
ของผู้ให้บริการ ประกอบด้วย (1) ต้องสะท้อนตันทุนจริงจากการให้บริการ (2) ต้องไม่เป็นภาระต่อผู้ใช้บริการจนเกินสมควรและคำนึงถึงความสามารถในการชำระของผู้ใช้บริการ (3) ต้องไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน และ (4) ต้องเปิดเผยอัตราค่าธรรมเนียมอย่างชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าว
ในครั้งนี้ ธปท. ขอให้ผู้ให้บริการปรับปรุงแนวทางการคิดดอกเบี้ยและเรียกเก็บค่าธรรมนียม สำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีผู้ใช้บริการแพร่หลายในวงกว้าง โดยขอให้ผู้ให้บริการดำเนินการในระยะแรก ดังนี้
1. ค่าปรับการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด (prepayment) สำหรับสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEร) และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด
1.1 ให้คิดค่าปรับการไถ่ถอนก่อนกำหนดบนยอดเงินต้นคงเหลือ
1.2 ให้กำหนดช่วงระยะเวลาที่จะยกเว้นการเรียกเก็บค่าปรับการไถ่ถอน โดยอาจพิจรณาให้สอดคล้องกับประวัติกรชำระหนี้และระยะเวลาการชำระหนี้ที่ผ่านมา
2. ดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ สำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEร) และสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีลักษณะการผ่อนชำระเป็นงวด
2.1 ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้นค่างวด (installment) ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระเฉพาะส่วนที่เป็นเงินต้นของค่างวดนั้น ตัวอย่าง ลูกหนี้กู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 5,000,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 8 ต่อปี ผ่อนชำระ 20 ปื
โดยมีค่างวดงวดละ 42,000 บาท และกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระจะคิดดอกเบี้ยสูงสุดร้อยละ 15 ต่อปื
เมื่อลูกหนี้ชำระคำงวดไปแล้ว 24 งวด ลูกหนี้ได้ผิดนัดชำระงวดที่ 25 ซึ่งค่างวดงวดที่ 25 ประกอบด้วย
เงินต้น 10,000 บาท และดอกเบี้ย 32,000 บาท
ให้คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้คำนวณบนค่างวดส่วนที่เป็นเงินต้นจำนวน 10,000 บาท
2.2 ให้กำหนดช่วงระยะเวลาการผ่อนผันไม่คิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี (grace period)
ในกรณีที่ลูกหนี้อจมีเหตุสุดวิสัย ทำให้ไสมารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด โดยสามารถกำหนดเป็นเกณฑ์ภายใน
ของผู้ให้บริการได้
2.3 ให้แจงรายละเอียดของยอดหนี้คงชำระ เช่น งินต้น ดอกเบี้ย ดอกเบี้ยผิดนัดชำระคำธรรมเนียมทวงถามหนี้ ให้ลูกหนี้ทราบอย่างชัดเจน
3. ค่าธรรมเนียมบัตรเอทีเอ็มหรือบัตรเดบิต
3.1 กรณีผู้ใช้บริการยกเลิกการใช้บัตร ให้คืนค่าธรรมเนียมรายตามสัดส่วนระยะเวลาคงเหลือของบัตรแก่ผู้ใช้บริการโดยไม่ต้องให้ผู้ใช้บริการร้องขอ
3.2 กรณีต้องออกบัตรหรือรหัสบัตรทดแทน ให้ยกเว้นการเก็บค่าธรรมเนียมการออกบัตร รหัสบัตรทดแทน แต่หากกรณีที่ออกบัตรหรือรหัสทดแทนมีต้นทุนสูงอาจพิจารณาจัดเก็บได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้ ขอให้ผู้ให้บริการนำหลักการและแนวทางการคิดดอกเบี้ยและเรียกเก็บค่าธรรมเนียม
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://bit.ly/36OxgUb
หรือหากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน โทร. 1213 ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8.30 – 16.30 น.
ครูอัพเดตดอทคอม ขอขอบคุณข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย