สแกน…ลดเวลาเรียน “3 สัปดาห์”บรรลุเป้า?

775

“ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้”
เป็นนโยบายแรกๆ ที่ พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ประกาศเดินหน้าตามนโยบายของรัฐบาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นับแต่วันแรกที่เข้ามารั้งตำแหน่งเสมา 1 เมื่อ 3 เดือนก่อน
คาดหวังให้เด็กลดการเรียนวิชาการที่หนักเกินไป
และหันมาเรียนนอกห้องเรียนเพื่อเพิ่มทักษะด้านต่างๆ ให้มากขึ้น

ต้องยอมรับว่าเด็กไทยเรียนหนัก
แต่ผลสัมฤทธิ์สวนทางซึ่งสร้างความไม่สบายใจให้แก่ผู้บริหารกระทรวงศึกษาฯมา
ทุกยุคทุกสมัย มาถึงสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
จึงหยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาพูดคุยด้วยความห่วงใยตามเวทีต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง
นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาบริหารประเทศ

โดยหลักการ ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ารัฐบาลและกระทรวงศึกษาฯเดินมาถูกทาง
เพราะเด็กไทยเรียนหนักจริง แถมเนื้อหาแต่ละระดับก็มีบางส่วนที่ซ้ำซ้อนกัน
และที่สำคัญการบ้านมีแทบทุกวิชา แทนที่จะมอบเป็นโครงงานที่

บูรณาการวิชาต่างๆ เข้าด้วยกันซึ่งจะช่วยผ่อนภาระเด็ก จะได้มีเวลาไปทำกิจกรรมเสริมสร้างทักษะและช่วยงานบ้านพ่อแม่บ้าง

แต่คำถาม คือ แนวทางที่กระทรวงศึกษาฯทำอยู่
ตอบโจทย์ปฏิรูปการศึกษาแท้จริงแล้วหรือไม่
และที่สำคัญโครงการนี้ประสบความสำเร็จ สร้างความน่าพึงพอใจ 75% ดังที่
พล.อ.ดาว์พงษ์ ประเมินจริงหรือ?

เป็นคำถามที่ชวนขบคิดอย่างมาก…

นักวิชาการและนักบริหารอย่าง ดร.ภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา และอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. มอง
ว่านโยบายการลดเวลาเรียนของ พล.อ.ดาว์พงษ์ น่าเป็นห่วง
ไม่ว่ารัฐบาลจะบอกว่าประชาชนเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว
แต่ถ้าไปสอบถามครูในพื้นที่ จะพบว่าส่วนใหญ่ยังไม่พร้อม
เพราะยังเน้นจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาวิชาเป็นหลัก
โดยหลักการเห็นด้วยว่าเด็กไทยเรียนมากเกินไป
แต่การลดเวลาเรียนต้องทำอย่างเป็นระบบ ค่อยเป็นค่อยไป
เพราะหลักสูตรปัจจุบันจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเนื้อหาสาระเป็นหลัก
การปรับลำดับแรกจึงควรสร้างหลักสูตรใหม่ที่ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา
และจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาที่เรียน

ไม่ต่างจากนักวิชาการฝีปากกล้าอย่าง ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่
มองคล้ายๆ กัน ว่าการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
เป็นหนทางที่ทำให้ปฏิรูปการศึกษาสำเร็จซึ่งหลายประเทศดำเนินการมาแล้ว
แต่ถ้าลดเวลาเรียนโดยหลักสูตร
การวัดผลประเมินผลและระบบการคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยยังไม่เปลี่ยนแปลงให้
สอดคล้องกับนโยบายลดเวลาเรียน
ก็เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักที่จะผลักดันนโยบายนี้ให้สำเร็จ

โดยเฉพาะต้องสร้างความเข้าใจให้ครูและผู้ปกครอง
เพราะได้พูดคุยกับผู้บริหารโรงเรียนต่างจังหวัดพบว่าสิ่งที่โรงเรียนบางแห่ง
ทำ คือ ย้ายกิจกรรมที่ทำช่วงเช้ามาอยู่ช่วงบ่าย
และแทนที่จะทำกิจกรรมในห้องเรียน ก็ย้ายออกไปทำกลางสนาม
ก็ถือว่าทำกิจกรรมนอกห้องเรียนแล้ว แต่วิชาการก็ยังเรียนหนักเหมือนเดิม
สะท้อนว่าโรงเรียนยังตีความคำว่าลดเวลาเรียนไม่ตรงกัน
หรืออีกนัยหนึ่งยังไม่เข้าใจคอนเซ็ปต์ของนโยบายนี้ดีพอ
เช่นเดียวกับผู้ปกครอง ที่ทุกวันนี้หลังเลิกทำกิจกรรม
ก็พาเด็กไปติววิชาหลัก อาทิ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ หนักขึ้น
เพราะวิตกว่าการลดเวลาเรียน
จะทำให้ลูกอ่อนวิชาการจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้
ผลจึงตกกับเด็กที่ต้องเรียนหนักขึ้น

นักวิชาการมองด้วยว่าโรงเรียน สังกัด สพฐ.ที่นำร่องโครงการนี้
เป็นโรงเรียนที่พร้อม แต่ถามว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ที่เป็นโรงเรียนทั่วไป 90%
พร้อมหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าไม่พร้อม รัฐมนตรีว่าการ
ศธ.ต้องระมัดระวังกับสิ่งที่ข้าราชการรายงาน
ครูเคยชินกับวิธีการสอนแบบเดิมๆ มาเป็น 10-20 ปี
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ครูจะมาเปลี่ยนวิธีการสอนได้สำเร็จภายใน 3 สัปดาห์

กระทรวงศึกษาฯ โดย พล.อ.ดาว์พงษ์ ต้องมองความสำเร็จของนโยบายที่ยั่งยืน
และเล็งผลในทางปฏิบัติที่ยาวนาน เพราะหลายนโยบายที่ผ่านมามักอยู่ไม่นาน
ก็ไปพร้อมกับเจ้ากระทรวง แต่หากปรับหลักสูตร ระบบการวัดผลประเมินผล
ตลอดจนระบบการคัดเลือกนักศึกษาเข้ามหาวิทยาลัย
ควบคู่ไปกับสร้างความพร้อมให้แก่ครูและทำความเข้าใจกับผู้ปกครองให้เข้าใจ
หลักการที่ถูกต้องตรงกัน
ก็เชื่อว่าจะตอบโจทย์ปฏิรูปการศึกษาที่คาดหวังให้เด็กไทย “เก่ง ดี มีสุข”
ได้ไม่ยาก… 

 

ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2558