สพฐ.นำร่อง ลดเวลาเรียน โรงเรียนประถมฯ-มัธยมฯตอนต้น ไม่มีผลกระทบกับ 8 กลุ่มสาระหลัก เริ่มภาคเรียนที่ 2/2558
ผลการประชุม คกก.ศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนงานตามนโยบาย
ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศปข.ศธ.)
2/2558
ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี -
สรุปประเด็นสำคัญจากการประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนงาน
ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(ศปข.ศธ.) ครั้งที่ 2/2558
เมื่อวันจันทร์ที่ 14
กันยายน 2558 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ
โดยมีพลเอกดาว์พงษ์
รัตนสุวรรณ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นประธานการประชุม
ซึ่งได้มีการติดตามงานตามนโยบายที่สำคัญ
คือ
นโยบายการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร
และนโยบายการสร้างค่านิยมอาชีวศึกษา

1. นโยบายการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าแนวทางการบริหารจัดการเวลาเรียนตามนโยบาย “การลดเวลาเรียน
เพิ่มเวลารู้”
ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
ซึ่งเป็นโครงการที่สอดคล้องกับพัฒนาการทางด้านการศึกษาของโลกปัจจุบัน
ในประเทศสิงคโปร์ใช้คำว่า
Teach Less Learn More
ทั้งนี้ สพฐ.ได้กำหนดนำร่องในโรงเรียนระดับประถมศึกษา-มัธยมศึกษาตอนต้น
ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/2558
โดยจะเป็นการลดเวลาเรียนในชั้นเรียน
ซึ่งไม่กระทบกับ 8 กลุ่มสาระหลัก
เพราะหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานในปัจจุบันได้กำหนดให้นักเรียนประถมศึกษาใช้เวลาเรียนไม่น้อยกว่า
1,000 ชั่วโมงต่อปี
มัธยมศึกษาตอนต้นไม่น้อยกว่า
1,200 ชั่วโมงต่อปี
(ส่วนมัธยมศึกษาตอนปลายไม่น้อยกว่า 3,600
ชั่วโมงตลอด 3 ปี)
แต่ใน 1 ปี
จะมีเวลาเรียนจริงประมาณ 200 วัน ซึ่งชั้นประถมฯ
ในปัจจุบันเรียน 6 คาบ/วัน หรือ
1,200 ชั่วโมงต่อปี
ส่วนมัธยมศึกษาตอนต้นเรียน 7 คาบ/วัน หรือ
1,400 ชั่วโมงต่อปี
ซึ่งมากกว่าเวลาเรียนตามหลักสูตรอยู่แล้ว
ดังนั้นนโยบายปรับลดเวลาเรียนในชั้นเรียน
จึงไม่ทำให้กระทบกับ 8 กลุ่มสาระหลัก
ส่วนระยะเวลาหลังเลิกเรียน 1 ชั่วโมง
หรือช่วงเวลาประมาณ 14.30-15.30 น.
จะมีกิจกรรมอะไรบ้างนั้น สพฐ.ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าในการเตรียมการด้านต่างๆ
ดังนี้
2-5 กันยายน 2558
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สพฐ.ได้เชิญผู้แทนของโรงเรียนขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก
โรงเรียนของรัฐ-เอกชน
โรงเรียนที่ตั้งในเมือง-ชนบทห่างไกล
รวมทั้งโรงเรียนระดับยอดเยี่ยมของประเทศไทย
มาหารือและร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ช่วงหลังเลิกเรียนในชั้นเรียน
9-11 กันยายน 2558
ได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นในเชิงปฏิบัติจากนักเรียน
ครู ผู้ปกครอง และผู้สนใจ ผ่านเว็บไซต์
mcmk.obec.go.th และ Facebook : obecmcmk
11-30 กันยายน 2558
จะสรุปข้อมูลจากการรับฟังความคิดเห็น
และสรุปจำนวนและรายชื่อโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
รวมทั้งจัดทำคู่มือการบริหารจัดการเวลาเรียนสำหรับเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียน
รวมทั้งจัดทำแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 4
รูปแบบ ได้แก่ กิจกรรมเสริมสร้างทักษะ กิจกรรมเสรี
กิจกรรมสอนอาชีพ และกิจกรรมสอนเสริมวิชาการ
1-31 ตุลาคม 2558
จะจัดให้มี Workshop และการสร้างการรับรู้ 6
จุดทุกภูมิภาคทั่วประเทศ
สำหรับโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ
โดยผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียน
ครูฝ่ายวิชาการ
ผู้บริหารสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
และศึกษานิเทศก์
รวมทั้งจะเร่งประชาสัมพันธ์-สร้างการรับรู้สู่ผู้เรียนให้แก่สังคมได้รับทราบ
เพื่อดำเนินการได้ตั้งแต่เปิดภาคเรียนที่ 2
ในวันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2558 เป็นต้นไป
2. นโยบายการยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร
ที่ประชุมได้รับทราบกรอบแนวคิดของกระทรวงศึกษาธิการ
ในการจัดทำแผนพัฒนาและยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษในทุกหลักสูตร
โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนนักศึกษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยสื่อสารในชีวิตประจำวันได้จริง
(Functional English) โดยใช้กลยุทธ์การประเมิน (Assessment)
และสร้างแรงจูงใจ (Incentive)
เพื่อยกระดับมาตรฐานภาษาอังกฤษทุกระดับชั้น
โดยมีช่องทางดำเนินการ 5 ด้าน ดังนี้
1 -
วัดระดับตามมาตรฐานสากล (CEFR)
เพื่อแยกระดับมาตรฐานผู้เรียน
ตั้งแต่ระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับชำนาญเหมือนเจ้าของภาษา
6 ระดับ ดังนี้
1) ระดับ Basic User กำหนดไว้ที่ระดับ A1-A1
2) ระดับ Independent User กำหนดไว้ที่ระดับ B1-B2
3) ระดับ Proficient User กำหนดไว้ที่ระดับ C1-C2
2 - ประเมินความสามารถภาษาอังกฤษ
3 - พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษ
4 - ปรับปรุงหลักสูตรและโครงสร้างพื้นฐาน
5 - Guaranteed Employment Program (Skills+Mindset)
โดยมีช่องทางการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่หลากหลาย เช่น
ใช้ระบบการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ
(Distance Learning Information Technology : DLIT)
การประชุมปฏิบัติการของสถาบันภาษาและหน่วยงานภาครัฐ/เอกชน
การจัด Boot Camps หรือหลักสูตรแลกเปลี่ยน การนำ
E-Learning มาใช้ เช่น จัดทำแอพลิเคชั่นบนมือถือ
และ Game Based เป็นต้น
รมว.ศึกษาธิการ
ขอให้คณะทำงาน รมช.ศึกษาธิการ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้กำหนดแผนการดำเนินงาน
รวมทั้ง Time frame ระยะยาวในการปฏิบัติงาน
ตลอดจนกำหนดแนวทางนำร่องให้ชัดเจนต่อการขับเคลื่อนปฏิบัติ
3.
นโยบายการสร้างค่านิยมอาชีวศึกษา
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.)
ได้รายงานให้ที่ประชุมรับทราบ
กรอบแนวคิดการเปลี่ยนค่านิยมของผู้ปกครองและนักเรียนให้เห็นความสำคัญและ
เข้าสู่การเรียนอาชีวศึกษามากขึ้น
ซึ่งได้เน้นให้เห็นความสำคัญที่จะต้องตอบสนองต่อ
Stakeholders ใน 6 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ
1) คนทำงาน
ที่จะเพิ่มความก้าวหน้าอาชีพ โดยจัดระบบเทียบโอน
ทวิศึกษา จัดให้มีการสร้างรายได้เพิ่ม
ส่งเสริมการมีงานทำ
หรือคนทำงานที่ต้องการเปลี่ยนงาน
2) ชุมชนท้องถิ่น
เน้นการให้บริการประชาชนด้าน Fix-It
Center
ดำเนินงานตามโครงการ อาชีวะพัฒนา
การสร้างค่านิยมให้แก่ชุมชนและท้องถิ่น
3) สถานประกอบการ
โดยเน้นให้มีความร่วมมือระบบทวิภาคี
และความร่วมมือในการผลิตและพัฒนากำลังคนให้มากขึ้น
4) นักเรียน
เพื่อให้เห็นความสำคัญของการเรียนระดับอาชีวะที่จะช่วยให้นักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียน
มีโอกาสเข้าถึงทุนต่างๆ ได้ง่าย
มีโอกาสก้าวเป็นผู้คิดค้นหรือมีความสามารถในการผลิตนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ
ได้
5) ผู้ปกครอง
โดยจะเน้นให้เห็นถึงความสามารถในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนสายอาชีวะ
การสนับสนุนด้านต่างๆ
เพื่อลดค่าใช้จ่าย-สร้างรายได้ในการเรียน
การให้ความสำคัญและการควบคุมดูแลเอาใจใส่ต่อความปลอดภัยในการเข้าเรียนมากขึ้น
และย้ำให้เห็นว่านักเรียนที่จบออกไปแล้วจะมีอาชีพติดตัว
สามารถเลือกช่องทางที่จะเป็นผู้ประกอบการเองได้
หรือไปทำงานอื่น
หรือเลือกศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
6) สถานศึกษา
จะต้องเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอนทั้งสถานศึกษาขนาดเล็ก
และสถานศึกษาขนาดใหญ่ตามโครงการอาชีวะมาตรฐานสากล
โดยรัฐให้การสนับสนุนค่าอุปกรณ์การเรียนของนักเรียนสายอาชีพที่เหมาะสม
รวมทั้งการผลิตพัฒนาและเสริมสร้างคุณภาพชีวิตครูอาชีวะให้มีขวัญกำลังใจและมีความสุขในหน้าที่การงาน
ทั้งนี้
การประชุมคณะกรรมการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
(ศปข.ศธ.) กำหนดให้มีการประชุมทุกเช้าวันจันทร์
เพื่อติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
26 ข้อ
บัลลังก์
โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
16/9/2558
รายละเอียดนโยบาย
26 ข้อ
www.moe.go.th/websm/2015/sep/305.html
ที่มา : ข่าวสำนักรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ